วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

ศรีปราชญ์



ศรีปราชญ์

ชื่อศรีปราชญ์ยังเป็นปัญหาที่สงสัยกันอยู่ว่า เป็นชื่อของบุคคลหรือตำแหน่งราชการ และศรีปราชญ์คือใครอยู่ในสมัยใด ในคำให้การของขุนหลวงหาวัดว่า “อันพระสุริเยนทราธิบดีพระเจ้าเสือนั้น พระองค์พอพระทัยในกาพย์ โคลง ฉันท์ ทั้งพระราชนิพนธ์ของพระองค์ก็ดี มีมหาดเล็กคนหนึ่งเป็นนักปราชญ์ช่างทำกาพย์ โคลง ฉันท์ พระองค์โปรดปราน แล้วพระราชทานชื่อเสียงเรียกว่าศรีปราชญ์ เป็นผู้ทำโคลงหลวง”

ตำนานศรีปราชญ์ของพระยาปริยัติธรรมธาดา(แพ ตาละลักษณ์) ได้กล่าวถึงเรื่องของศรีปราชญ์ไว้ว่า ศรีปราชญ์เป็นบุตรของพระโหราธิบดี ศรีปราชญ์เป็นเด็กฉลาดและคงได้รับการศึกษาดีจึงสามารถต่อโคลงพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระนารายณ์ฯเมื่อมีอายุเพียง ๙ ขวบ(บ้างว่า ๑๒ ขวบ) มีเรื่องเล่าว่า คืนหนึ่งขณะที่พระโหราธิบดีเข้าเฝ้าเป็นการภายในนั้น สมเด็จพระนารายณ์ฯได้ทรงนิพนธ์โคลงขึ้น ๒ บาทว่า

อันใดย้ำแก้มแม่ หมองหมาย
ยุงเหลือบฤาริ้นพราย ลอบย้ำ

แล้วโปรดเกล้า”ให้พระโหราธิบดีช่วยแต่งต่อ แต่พระโหราธิบดีแต่งให้ได้ความเหมาะเจาะรับกับที่ได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ไม่ได้ ขอพระราชทานนำกลับมาคิดที่บ้าน เมื่อกลับมาบ้านแล้วก็ยังคิดแต่งไม่ได้จึงวางกระดานไว้แล้วเข้านอน พอรุ่งเช้าก็เห็นมีคำโคลงครบบทและโคลงสองบาทซึ่งศรีปราชญ์ได้ช่วยแต่งต่อได้ความเหมาะเจาะกับที่ได้ทรงพระราชทานไว้คือ

ผิวชนแต่จักกราย ยังยาก
ใครจักอาจให้ช้ำ ชอกเนื้อเรียมสงวน

พระโหราธิบดีจึงได้นำโคลงบทนั้นไปถวายสมเด็จพระนารายณ์ฯ และกราบบังคมทูลว่าบุตรผู้เยาว์ของตนเป็นผู้แต่งต่อ สมเด็จพระนารายณ์ฯพอพระทัยมาก โปรดเกล้าฯให้นำตัวมาเฝ้าแล้วโปรดให้มหาดเล็กรับราชการในราชสำนัก

ศรีปราชญ์ได้รับราชการเป็นมหาดเล็กอยู่จนรุ่นหนุ่ม ความคล่องแคล่วและปฏิภาณอันฉับไว ทำให้พระเจ้าอยู่หัวโปรดปราน คารมในทางกวีแก่กล้าขึ้นตามวัย สาเหตุที่ได้ชื่อว่าศรีปราชญ์นั้น มีเหตุการณ์เล่ากันมาเป็น ๒ นัย 

นัยหนึ่งเล่าว่า ขณะที่สมเด็จพระนารายณ์ฯเสด็จปรพาสอุทยานป่าแก้ว ทรงได้ยินเสียงลิงเป็นสัดกันส่งเสียงอึกทึก จึงแสร้งดำรัสถามว่า นั่นเสียงอะไร บรรดาเสวกามาตย์ไม่กล้ากราบทูล ด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องหยาบคาย ศรีปราชญ์จึงกราบทูลว่า
“ไม่ควรกราบทูลหามิได้ มันทำสมัครสังวาสผิดประหลาดกว่าสัตว์ธรรมดา” ก็พอพระทัยที่ศรีปราชญ์รู้จักใช้ถ้อยคำเพ็ดทูล จึงรับรั่งว่า “ศรีเอ๋ย เจ้าจงเป็นศรีปราชญ์ตั้งแต่บัดนี้เถิด”

อีกนัยหนึ่งกล่าวว่า ขณะที่สมเด็จพระนารายณ์ฯ เสด็จประพาสแล้วพระองค์ทรงพักผ่อนสำราญพระอิริยาบถอยู่ภายในพลับพลา พวกเสวกามาตย์นั่งเล่นกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ บังเอิญมีลิงตัวหนึ่งถ่ายรดหัวพระยาเดโชซึ่งเป็นคนหัวล้าน บรรดาข้าราชการบริพารจึงพากันหัวเราะเอ็ดอึง จนทำให้สมเด็จพระนารายณ์ฯเสด็จตื่นจากบรรทมตรัสถามถึงมูลเหตุ ก็ไม่มีใครกล้ากราบบังคมทูลศรีปราชญ์จึงกราบทูลคล้องจองกันว่า”พะย่ะค่ะ ขอเดชะ วานระถ่ายอุจจาระ รดศีรษะ พระยาเดโช” 

ศรีปราชญ์ได้ประลองฝีปากกับกวีผู้ใหญ่ในราชสำนักตลอดจนข้าราชบริพาร อันแสดงถึงความเป็นปฏิภาณกวีที่สามารถหลายครั้ง เช่น

โต้ตอบโคลงกับพระยาแสนหลวง เจ้าเมืองเชียงใหม่ ซึ่งได้ถามศรีปราชญ์เป็นโคลงว่า

เจ้าเชียงใหม่ ถามว่า รังศรีพระเจ้าฮื่อ ปางใด
ศรีปราชญ์ ตอบ ปางเมื่อพระเสด็จไป ป่าแก้ว
เจ้าเชียงใหม่ ถามต่อ รังศรีบ่สดใส สักหยาด
ศรีปราชญ์ ตอบ ดำแต่นอกในแผ้ว ผ่องเนื้อนพคุณ

โต้ตอบโคลงกับนายประตู

นายประตู ถามว่า แหวนนี้ท่านได้แต่ ใดมา
ศรีปราชญ์ ตอบ เจ้าพิภพโลกา ท่านให้
นายประตู ถามว่า ทำชอบสิ่งใดนา วานบอก
ศรีปราชญ์ ตอบ เราแต่งโคลงถวายไท้ ท่านให้รางวัล

ประลองคารมในการประกวดปฏิภาณกวี
เจ้าเชียงใหม่แต่งโคลงเป็นทำนองโศกอาลัยว่า

ครืนครืนใช้ฟ้าร้อง เรียมครวญ
หึ่งหึ่งใช้ลมหวน พี่ให้
ฝนตกใช่ฝนนวล ที่ทอด ใจนา
ร้อนใช่ร้อนไฟไหม้ พี่ร้อนกลกาม

ศรีปราชญ์ได้แต่งทำนองขึ้นเปรียบว่า

เรียมร่ำน้ำเนตรท้วม ถึงพรหม
พาเทพเจ้าตกจม จ่อมม้วย
พระสุเมรุเปื่อยเป็นตม ทบท่าว ลงนา

สมเด็จพระนารายณ์รับสั่งถามว่า เมื่อน้ำท่วมเขาพระสุเมรุแล้วศรีปราชญ์เองจะอยู่ที่ไหน ศรีปราชญ์ก็แต่งถวายได้ทันทีว่า

หากอักนิฏฐพรหมฉ้วย พี่ไว้จึ่งคง

พระเยาวราช(เจ้าฟ้าอภัย ราชโอรส) ได้ทรงนิพนธ์โคลงเป็นทำนองฝากรักว่า

เจ้าอย่าย้ายคิ้วช่ำ เมลืองมา
อย่าเมียงม่ายหางตา ล่อเหล้น
จะมาก็มารา อย่าเหนี่ยว นานเลย
ครั้นพี่มาอย่าเร้น เรียกเจ้าจงมา

ศรีปราชญ์แต่งทำนองเดียวกันว่า

เจ้าอย่าย้ายคิ้วให้ เรียมเหงา
ดูดุจนายพรานเขา ล่อเนื้อ
จะยิงก็ยิงเอา อกพี่ราแม่
เจ็บไป่ปานเจ้าเงื้อ เงือดแล้วราถอย

นอกจากนั้นยังมีโครงกระทู้ซึ่งเข้าใจกันว่าศรีปราชญ์แต่งคือ

ทะ เลแม่ว่าห้วย เรียมฟัง
ลุ่ม ว่าดอนเรียมหวัง ว่าด้วย
ปุ่ม เปือกปะการัง เรียมร่วม คำแม่
ปู ว่าหอยแม้กล้วย ว่ากล้ายเรียมตาม

โก มลเดียรดาษพื้น สินธู
วา ลุกาประดับดู ดั่งแก้ว
ปา รังระบัดปู ปุ่ยนุ่น เปรียบฤา
เปิด จอกกระจับแผ้ว ผ่องน้ำเห็นปลา

ศรีปราชญ์แต่งโคลงเกี่ยวพันกับหญิงภายในวังหลายบท และเป็นเหตุให้ศรีปราชญ์ถูกเนรเทศไปอยู่เมืองนครศรีธรรมราช
ศรีปราชญ์แงโคลงทักนางข้าหลวงงว่า

ไยแม่หิ้วนั้นใช่ จะตก
เอาพระกรมาปก ดอกไม้
สองมือทาบตีอก ครวญใคร่ เห็นนา
หัวยะยิ้มรอยให้ พี่เต้าไปหา

นางข้าหลวงตอบว่า

หะหายกระต่ายเต้น ชมจันทร์
มันบ่เจียมตัวมัน ต่ำต้อย
นกยูงหากกระสัน ถึงเมฆ
มันบ่เจียมตัวน้อย ต่ำต้อยเดียรฉาน

ศรีปราชญ์ได้โต้ตอบว่า

หะหายกระต่ายเต้น ชมแข
สูงส่งสุดตาแล สู่ฟ้า
ฤดูฤดีแด สัตว์สู่ กันนา
อย่าว่าเราเจ้าข้า อยู่พื้นเดียวกัน

ส่วนโคลงบทสุดท้าย และเป็นปัจฉิมวาทของศรีปราชญ์ ซึ่งใช้เท้าขีดพื้นทรายก่อนที่เพชฌฆาตจะลงดาบ เมื่อเจ้าเมืองนครฯให้เอาศรีปราชญ์ไปประหารชีวิต

ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน
เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง
เราผิดประหาร เราชอบ
เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนอง

ต่อมาสมเด็จพระนารายณ์ฯโปรดเกล้าฯให้เรียกตัวศรีปราชญ์กลับไปกรุงศรีอยุธยา เมื่อทรงทราบว่าเจ้าเมืองนครฯได้ประหารชีวิตเสียแล้ว จึงโปรดเกล้าฯให้ประหารเจ้านครฯเสียด้วยดาบเล่มเดียวกัน เพราะเจ้านครฯประหารชีวิตศรีปราชญ์โดยไม่ได้กราบบังคมทูลให้พระองค์ทรงทราบ

งานวรรณคดีที่สำคัญของศรีปราชญ์ที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันมี ๒ เรื่อง คือ อนิรุทธ์คำฉันท์ และ โคลงกำสรวล
------------------------------------------
อ้างอิง : ประวัติวรรณคดี เล่ม ๑ (กระทรวงศึกษาธิการ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น